ขับรถจักรยานยนต์ถืออาวุธมีดไล่ฟันรถยนต์ ผู้ที่อยู่ในรถยนต์จะกระทำการใดอันเป็นการป้องกันตนเองได้บ้าง ?

กรณีที่เป็นข่าวมีคนร้ายขับรถจักรยานยนต์ใช้มีดขนาดใหญ่ไล่ฟันรถยนต์   และรถยนต์ได้ขับหนีแต่คนร้ายก็ขับไล่ตามเพื่อจะใช้มีดฟันทำร้ายบุคคลในรถยนต์ นั้น   กรณีดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญา หากคนร้ายใช้มีดฟันตัวรถ และฟันทำร้ายคนในรถก็จะเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  และผิดฐานทำร้ายร่างกายได้  แต่ถ้าคนร้ายมีเจตนาถึงกับจะหมายเอาชีวิตก็เป็นเจตนาฆ่าได้    และได้มีคำถามมามากมายว่าบุคคลที่อยู่ในรถยนต์จะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อป้องกันตนเองซึ่งตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  บุคคลที่อยู่ในรถก็สามารถที่จะกระทำการป้องกันตนเองให้พ้นจากภยันตรายได้ แต่ต้องเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ   เช่นขับรถเบียดแซงรถจักรยานยนต์ที่ขับตามมาจะทำร้าย เพื่อที่จะให้รถจักรยานยนต์ล้มลง  แต่หากใช้อาวุธปืนยิงอาจจะเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุได้   ซึ่งหากเป็นการป้องกันที่พอสมควรแก่เหตุ บุคคลที่อยู่ในรถก็จะไม่มีความผิดเลย   แต่หากเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุก็จะมีความผิดแต่ศาลสามารถลงโทษให้น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้

    มาตรา 68 “ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่น ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2504 ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ตายบุกรุกเข้าไปจะทำร้ายจำเลยจนถึงบ้านของจำเลย ไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่จำเลยผู้มีสิทธิครอบครองเคหสถานของตนโดยชอบด้วยกฎหมายจะต้องหนีผู้กระทำผิดกฎหมาย อนึ่ง ได้ความจากนายพันและนายเปี่ยม พยานโจทก์ว่า ถ้าจำเลยไม่ยิงผู้ตายก็ฟันจำเลย จำเลยยิงมาจากในโรง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันชีวิต พอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7940/2551  บ้านและบริเวณบ้านของจำเลยถือว่าเป็นเคหสถานที่ประชาชนทั่วไปย่อมเห็นว่าเป็นที่ปลอดภัยไม่ควรถูกบุคคลอื่นรุกล้ำเข้ามากระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่จำเป็นต้องหลบหนีและมีสิทธิที่จะป้องกันสิทธิของตนเพราะจำเลยเป็นผู้สุจริตหาต้องถูกบังคับให้ไปเสียจากเคหสถานของจำเลยซึ่งมีสิทธิที่จะอยู่อาศัยและเคลื่อนไหวโดยอิสระ หากจำเลยจำต้องหนีแล้วเสรีภาพของจำเลยก็จะถูกกระทบกระเทือน

ผู้ตายขับรถเข้ามาในบริเวณบ้านของจำเลยเพื่อจะบังคับ ผ. ซึ่งเป็นบุตรสาวของจำเลยและเคยเป็นภริยาของผู้ตายให้ไปอยู่กินด้วยกันเช่นเดิมแล้วเกิดโต้เถียงกันจำเลยพูดจาห้ามปราม ผู้ตายไม่ฟังและได้ลงจากรถพร้อมกับถืออาวุธมีดยาว 12 นิ้ว เดินไปหาจำเลย จำเลยจึงวิ่งขึ้นไปบนบ้านหยิบเอาอาวุธปืนยาวกึ่งอัตโนมัติขนาด .22 ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่จำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้ ทั้งเป็นอาวุธปืนที่ปกติใช้ยิงนกหรือสัตว์ขนาดเล็กและมีแรงปะทะน้อยลงจากบ้าน เพื่อปรามมิให้ผู้ตายทำร้ายจำเลยหรือทำลายทรัพย์สินของจำเลยหรือบังคับให้ ผ. ไปอยู่กับผู้ตาย โดยไม่มีกริยาอาการที่จะยิงทำร้ายผู้ตายซึ่งถูก ผ. โอบกอดไว้ ดังนี้จะถือว่าจำเลยมีเจตนาสมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทกับผู้ตายหาได้ไม่ หลังจากนั้นสักครู่ผู้ตายสะบัดตัวหลุดและเดินเข้าหาจำเลยเพื่อทำร้ายจนห่างประมาณ 1 วา โดยมีอาวุธมีดยาวเช่นนี้นับว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิจะป้องกันเนื่องจากหากปล่อยให้ผู้ตายเข้ามาใกล้กว่านั้น โอกาสที่จะใช้อาวุธปืนยาวยิงเพื่อป้องกันตัวย่อมจะขัดข้อง การที่จำเลยใช้อาวุธดังกล่าวยิงไปที่ผู้ตายไป 1 นัด แต่ผู้ตายยังเดินเข้ามาหาจำเลยอีก จำเลยจึงยิงผู้ตายอีก 2 นัด ติดต่อกันผู้ตายจึงล้มลง นับว่าเป็นการพอสมควรแก่เหตุในภาวะและวิสัยเช่นนั้น แต่หลังจากผู้ตายล้มลงนอนหงายจำเลยยังเดินเข้าไปยิงผู้ตายอีก 2 นัด จึงเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ

Facebook
Twitter
Email
WhatsApp