ขี่รถย้อนศร ชน รถที่ขับมาเร็วแล้วมีผู้เสียชีวิตใครต้องรับผิดชอบกันแน่?

กรณีปรากฏเป็นกระแสข่าวว่าเกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ซ้อนสาม ขี่ย้อนศรมาทางเลนขวาซึ่งเป็นเลนเดียวกับรถกระบะ จึงประสานงากันอย่างจัง ร่างกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางและทำให้ฝ่ายที่ขี่จักรยานยนต์ย้อนศรมา เสียชีวิตคาที่ 3 ราย จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าฝ่ายใดต้องรับผิดชอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีดังต่อไปนี้

ความผิดฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎ
หมายอาญา มาตรา 291 คือการที่ผู้กระทำไม่ได้มีเจตนา แต่ได้กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ ซึ่งผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ประกอบกับต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล ความตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาท กล่าวคือ ถ้าพิจารณาได้ว่า ถ้าไม่มีการกระทำโดยประมาท ความตายก็จะไม่เกิดขึ้น จึงถือว่าผลเกิดจากการกระทำนั้น แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าพิจารณาได้ว่า แม้ไม่มีการกระทำโดยประมาทก็ตาม ผลแห่งความตายก็ยังต้องเกิดขึ้นอยู่ดี ถือไม่ถือว่าความตายเกิดจากการกระทำโดยประมาท ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิด

ดังนั้น หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า รถกระบะขับมาด้วยความเร็วสูง แต่ก็ขับอยู่ในช่องทางเดินรถของตนโดยถูกต้อง ส่วนผู้ขี่รถจักรยานยนต์กลับขี่ย้อนศรมาในช่องทางเดินรถของรถกระบะ โดยไม่ได้ขี่ในช่องทางเดินรถอย่างภาวะปกติธรรมดาแต่อย่างใด ในภาวะเช่นนั้นไม่ว่าคนขับรถกระบะจะขับมาในลักษณะใด ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงเพื่อไม่ให้ชนกับรถจักรยานยนต์ได้ ดังนั้น แม้ว่าคนขับรถกระบะจะขับรถมาด้วยความเร็วสูงก็ตาม ก็ไม่ใช่ผลโดยตรงที่ทำให้เกิดการชนกัน การกระทำของคนขับรถกระบะจึงไม่เป็นความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291

ส่วนผู้ตายซึ่งขี่รถจักรยานยนต์ย้อนศรจนทำให้ชานประสานงากับรถกระบะ เป็นเหตุให้ผู้ที่ซ้อนท้ายมาเสียชีวิตทั้งสองคน การกระทำของจำเลยก็เข้าข่ายเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291
แต่มีประเด็นที่น่าพิจารณาว่า ผู้ตายที่ได้ซ้อนท้ายมานั้นเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยอันจะมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่

หลักกฎหมายที่จะต้องนำมาพิจารณาคือ ผู้เสียหาย หมายถึง บุคคลที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง เรียกอีกอย่างว่า ผู้เสียหายที่แท้จริง รวมทั้งบุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย ก็ถือว่าเป็นผู้เสียหายด้วย

การที่จะเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง อันจะส่งผลให้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลได้นั้น จะต้องปรากฏว่า มีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น มีสภาพบุคคลในขณะที่ความผิดเกิดขึ้น ต้องเป็นผู้เสียหายโดยพฤตินัย คือ ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดที่เกิดขึ้น และจะต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยด้วย กล่าวคือ ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ไม่ได้ยินยอมให้มีการกระทำความผิด รวมทั้งต้องไม่มีเจตนากระทำในสิ่งที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามตามกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน การขี่รถจักรยานยนต์ย้อนศร ทำให้ผู้ที่ซ้อนท้ายมาเสียชีวิต จึงเป็นกรณีที่มีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้นจริง โดยในขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ผู้เสียหายมีสภาพบุคคล ทั้งยังได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิด เพราะเสียชีวิต จึงเป็นผู้เสียหายโดยพฤตินัย

อย่างไรก็ตาม หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้เสียชีวิตซึ่งได้ซ้อนท้ายมา ไม่ได้ห้ามปรามผู้ขี่รถจักรยานยนต์ หรืออาจจะมีพฤติกรรมยุยงส่งเสริมให้ขี่รถย้อนศร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย กรณีจึงถือได้ว่าผู้ตายมีเจตนากระทำในสิ่งที่มีกฎหมายห้าม หรือยินยอมให้มีการกระทำความผิด เช่นนี้ผู้ที่ซ้อนท้ายมาแล้วเสียชีวิต จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ของการเป็นผู้เสียหาย ที่จะมีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

หลักกฎหมายและคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2(4) ผู้เสียหาย หมายความถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 4,5 และ 6

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4883/2553 แม้จำเลยจะขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วยความเร็วสูง แต่จำเลยขับรถในทางเดินรถของตนโดยถูกต้อง ส่วน ส. มิได้จอดรถเพื่อรถกลับรถในช่องกลับรถอย่างในภาวะปกติธรรมดา หากแต่เป็นเพราะรถที่ ส. ขับเกิดเสียการทรางตัวแล้วหมุนเข้าไปในทางเดินรถของจำเลยและขวางรถที่จำเลยขับในระยะกระชั้นชิด ในภาวะเช่นนั้นไม่ว่าจำเลยจะขับมาในลักษณะเช่นใดจำเลยย่อมไม่อาจจะหลบหลีกเพื่อมิให้ชนกับรถที่ ส. ขับได้ ดังนั้น การที่จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วยความเร็วสูงและไม่ขับให้อยู่ในช่องเดินรถด้านซ้ายจึงมิใช่เป็นผลโดยตรงที่ทำให้เกิดการเฉี่ยวชนกันจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทและกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6450/2558 ตามฟ้องที่จำเลยให้การรับสารภาพฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์บรรทุกพ่วงในทางเดินรถของจำเลย จำเลยไม่ได้ขับล้ำเข้าไปในทางเดินรถสวน ส่วน ร. ขับรถจักรยานยนต์สวนทางมาโดยขับตามหลังรถอีแต๋นที่ บ. เป็นผู้ขับ แต่ ร. ขับแซงขึ้นหน้ารถอีแต๋นล้ำเข้าไปในทางเดินรถของจำเลย เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ที่ ร. ขับชนกับรถจำเลย หาก ร. ไม่ขับรถล้ำเข้าไปในทางเดินรถของจำเลย เหตุรถทั้งสองคันชนกันก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ แม้จะฟังว่าจำเลยมิได้ขับรถชิดขอบทางด้านซ้าย แต่ก็ยังขับอยู่ในทางเดินรถของจำเลย และตามรายงานชันสูตรพลิกศพเอกสารท้ายฟ้องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องระบุว่า ร. ขับรถตัดหน้ารถจำเลยเป็นเหตุให้ชนกัน แล้วรถจำเลยเสียหลักไปชนรถอีแต๋น แสดงว่า ร. ขับแซงขึ้นหน้ารถอีแต๋นในระยะกระชั้นชิดขณะที่รถจำเลยใกล้จะสวนทางกับรถอีแต๋น การที่รถจำเลยเสียหลักพุ่งชนรถอีแต๋น จึงเป็นผลโดยตรงจาก ร. ขับแซงขึ้นหน้าในระยะกระชั้นชิดเข้าไปในทางเดินรถของจำเลย มิใช่ผลโดยตรงที่จำเลยมิได้ขับรถชิดขอบทางด้านซ้ายหรือไม่ชะลอความเร็ว จะถือว่าจำเลยมีส่วนประมาทด้วยหาได้ไม่ เพราะการที่รถจำเลยเสียการควบคุมไปชนรถอีแต๋นเป็นผลจากความประมาทอย่างร้ายแรงของ ร. ที่ขับแซงขึ้นหน้าในระยะกระชั้นชิด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและรับอันตรายแก่กาย

Facebook
Twitter
Email
WhatsApp