
ประเด็นดังกล่าวมีข้อพิจารณาทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
หลักการรับฟังพยานหลักฐาน คือ กระบวนการที่ศาลจะใช้วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานใดสามารถนำสืบได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โดยมีหลักเกณฑ์คือ พยานหลักฐานทุกชนิดที่น่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์ สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ทั้งสิ้น แต่มีข้อยกเว้นคือ ต้องไม่ใช่พยานหลักฐานที่เกิดจากการจูงใจ การขู่เข็ญหลอกลวง หรือการกระทำโดยไม่ชอบประการอื่น หากเป็นหลักฐานที่ได้มาจากการกระทำโดยมิชอบแล้วนั้น ศาลจะไม่สามารถใช้ดุลพินิจในการรับฟังเป็นพยานหลักฐาน
ในประเด็นปัญหาว่าบทบัญญัติห้ามรับฟังพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือแม้แต่เป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายแต่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ใช้บังคับกับในกรณีที่เอกชนเป็นผู้เสียหายด้วย ไม่ได้บังคับใช้เฉพาะกับกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้แสวงหาพยานหลักฐานเท่านั้น ตามนัยแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2555 และ 4301/2543 ซึ่งได้วางบรรทัดฐานว่า พยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบแต่ได้มาโดยการกระทำที่ไม่ชอบโดยเอกชน ย่อมตกอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1 อันเป็นบทตัดพยานหลักฐาน อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน แต่ก็มีข้อยกเว้นที่ให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานได้ ไม่ว่าจะเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบ แต่ได้มาเนื่องจากการกระทำโดยมิชอบ หรือเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบ ศาลก็สามารถใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานได้ โดยศาลจะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดี คำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ทั้งคุณค่าในเชิงพิสูจน์ ความสำคัญ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้น พฤติการณ์และความร้ายแรงของความผิดในคดี ลักษณะและความเสียหายที่เกิดจากการกระทำโดยมิชอบ รวมถึง ผู้ที่กระทำการโดยมิชอบอันเป็นเหตุให้ได้พยานหลักฐานมานั้นได้รับการลงโทษหรือไม่เพียงใด เมื่อศาลได้พิจารณาปัจจัยต่างๆดังกล่าวประกอบกันแล้ว หากศาลเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบของการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ศาลก็สามารถพยานหลักฐานที่ได้มาจากการกระทำโดยไม่ชอบได้ ในทางกลับกันหากศาลพิจารณาได้ว่าการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนมีผลเสียมากกว่า ศาลก็จะไม่สามารถรับฟังพยานหลักฐานนั้นได้
ตัวอย่างเช่น ในกรณีความผิดเล็กน้อย โทษไม่ร้ายแรง แม้ว่าจะเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยการแอบบันทึกบทสนทนาของคู่กรณีโดยไม่ได้รับความยินยอม อันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ก็ต้องห้ามศาลรับฟังพยานหลักฐานนั้น แต่หากเป็นความผิดอุกฉกรรจ์ มีโทษร้ายแรง แม้ว่าจะเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาจากการละเมิดสิทธิของบุคคล แต่ก็มีประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวมมากกว่า ศาลก็สามารถรับฟังพยานหลักฐานและนำมาใช้ลงโทษผู้กระทำความผิดได้ เพราะผลประโยชน์ของชาติย่อมอยู่เหนือสิทธิส่วนบุคคล
ดังนั้น พยานหลักฐานที่ได้มาจากการจ้างนักสืบเอกชนไปตามถ่ายภาพ เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยไม่ชอบ แม้จะเกิดจากฝ่ายที่เป็นคู่ความหรือผู้เสียหายในคดีก็ตกอยู่ในบังคับบทตัดพยานหลักฐาน แต่อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลก็สามารถใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานได้ หากศาลเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบของการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ศาลก็สามารถพยานหลักฐานที่ได้มาจากการกระทำโดยไม่ชอบได้
ท่านที่สนใจสามารถศึกษาหลักกฎหมายและคำพิพากษาฎีกาเพิ่มเติมได้ดังนี้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 226 พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยาน
มาตรา 226/1 ในกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลว่า พยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบ แต่ได้มาเนื่องจากการกระทำโดยมิชอบ หรือเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานนั้น เว้นแต่การรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสีย อันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญา หรือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน ในการใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลพิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดี โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ด้วย
(1) คุณค่าในเชิงพิสูจน์ ความสำคัญ และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้น
(2) พฤติการณ์และความร้ายแรงของความผิดในคด
(3) ลักษณะและความเสียหายที่เกิดจากการกระทำโดยมิชอบ
(4) ผู้ที่กระทำการโดยมิชอบอันเป็นเหตุให้ได้พยานหลักฐานมานั้นได้รับการลงโทษหรือไม่เพียงใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2281/2551 การแอบบันทึกเทปขณะที่มีการสนทนากันระหว่างโจทก์ร่วมกับพยานและจำเลยที่ 2 โดยที่โจทก์ร่วมและพยานไม่ทราบมาก่อน เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบห้ามมิให้ศาลรับฟังเป็นพยานนั้นตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226 แม้หลักกฎหมายดังกล่าวจะใช้ตัดพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานของรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนมิให้เจ้าพนักงานของรัฐใช้วิธีการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ แต่ ป.วิ.อ. มาตรา 226 ไม่ได้บัญญัติห้ามไม่ให้นำไปใช้กับการแสวงหาพยานหลักฐานของบุคคลธรรมดา อย่างไรก็ตาม ระหว่างพิจารณาคดีได้มี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 โดยมาตรา 11 บัญญัติให้เพิ่มมาตรา 226/1 ป.วิ.อ. กำหนดให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบได้ ถ้าพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญา ศาลจึงนำบันทึกเทปดังกล่าวมารับฟังได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 4301/2543 การที่บริษัทไมโครซอฟท์ จ้างนักสืบเอกชน ไปล่อซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยทำทีไปติดต่อซื้อคอมพิวเตอร์จากจำเลยโดยมีข้อตกลงว่าจำเลยต้องแถมโปแกรมคอมพิวเตอร์แก่สายลับด้วย หลังจากจำเลยประกอบคอมพิวเตอร์เสร็จแล้วมีการทำซ้ำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของผู้เสียหายลงในฮาร์ดดีสก์ในเครื่องคอมพิวเตอร์และส่งมอบให้แก่สายลับ ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยเกิดขึ้นเนื่องจากการล่อซื้อของสายลับ มิใช่กระทำขึ้นโดยผู้กระทำมีเจตนากระทำผิดอยู่แล้วก่อนการล่อซื้อ เท่ากับโจทก์เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด #โจทก์ย่อมไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดี