
การขายและชื้อสินค้าออนไลน์ในปัจจุบัน สะดวกสบาย ผู้ชื้อ-ผู้ขายไม่จำต้องเจอหน้ากัน นับว่าเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน ทั้งผู้ชื้อและผู้ขาย จึงนิยมหันมาทำการชื้อ และขายผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น จึงเป็นช่องทางให้คนที่ไม่สุจริต เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ จากการชื้อ-ขายออนไลน์มากขึ้น
ทำให้ผู้ชื้อที่ไม่รู้เท่าทันเกมโกงของคนพวกนี้ เสียเงิน เสียทอง โดยจ่ายเงินแล้ว รอแล้ว รอเล่า แต่ไม่ได้รับสินค้าที่สั่งชื้อ เป็นการซ้ำเติม สร้างความเดือดร้อน ให้กับผู้ชื้อในสภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
เท่าที่ได้ติดตามคำพิพากษาของศาลฎีกาในช่วงหลังๆ มานี้ จะเห็นได้ว่า ทั้งผู้ขายที่เป็นคนหลอกลวง และผู้รับจ้างเปิดบัญชี ศาลฟังว่าเป็นตัวการร่วมกัน ลงโทษหนักโดยโทษจำคุกไม่รอการลงโทษ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง โดยศาลฎีกาเห็นว่า ลักษณะการกระทำความผิดผู้กระทำ มุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ด้วยการหลอกลวงประชาชนทั่วไปในลักษณะวงกว้าง โดยอาศัยการเข้าถึงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ไม่ได้จำกัดเพียงผู้เสียหาย นับว่าเป็นภัยต่อสุจริตชนโดยทั่วไป พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ผู้กระทำจะได้ชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นที่พอใจ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุก ต้องบอกเลยว่า อย่าหาทำ และหากคดีต่างๆ ตามที่เป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้ หากข้อเท็จจริง “ ฟังเป็นที่ยุติว่า กระทำความผิดจริง ทั้งผู้ขาย และผู้เปิดบัญชี ได้ติดคุกยาวแน่ ๆ”
๑. คำพิพากษาฎีกา 5025/2563
เจ้าพนักงานตำรวจให้ตรวจสอบ จึงน่าเชื่อว่าจำเลยร่วมรู้เห็นให้คนร้ายนำบัญชีเงินฝากและบัตรเอทีเอ็มของจำเลยไปใช้กระทำความผิดโดยร่วมกันวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่รับฟังได้ว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยฎีกาประการต่อมาว่า พฤติการณ์ของจำเลยเป็นเรื่องการรับจ้างเปิดบัญชี ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดลงโทษสถานหนักและมีเหตุสมควรรอการลงโทษนั้น เห็นว่า การที่จำเลยสมคบกับคนร้ายวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำโดยจำเลยรับเปิดบัญชีเงินฝากและมอบบัตรเอทีเอ็มให้คนร้ายนำไปใช้กระทำความผิด มีลักษณะเป็นขบวนการโดยแบ่งหน้าที่กันทำ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญานั้น เหมาะสมแล้ว
๒.คำพิพากษาฎีกาที่ 8687/2563 เรื่องคดีฉ้อโกง ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า ลักษณะการกระทำความผิดของจำเลย มุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตนด้วยการหลอกลวงประชาชนทั่วไปในลักษณะวงกว้าง โดยอาศัยการเข้าถึงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ไม่ได้จำกัดเพียงผู้เสียหาย นับว่าเป็นภัยต่อสุจริตชนโดยทั่วไป พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยที่ 1 จะได้ชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นที่พอใจ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 ได้