เป็นข่าวที่น่าสนใจ และค้านสายตาประชาชน เกี่ยวกับคดี ของ “ บอส อยู่วิทยา” จนเกิดกระแส # คุกมีไว้ขังเฉพาะคนจน #
คดีในทำนองนี้ ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว โดยผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว เป็นคนใหญ่คนโต เช่นกัน โดย คนหนึ่งเป็นถึงเจ้าของ และอีกคนบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ ใสนคดีดังกล่าว ถูกกล่าวหาว่า “กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา”
ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าว ผู้ต้องหาทั้งสองถูกกล่าวหาว่า มีการลงข่าวในหนังสือพิมพ์ โดยมีข้อความ หมิ่นประมาท ผู้เสียหายจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ ต่อเจ้าพนักงานสอบสวน เพื่อเอาผิดกับเจ้าของหนังสือพิมพ์ และบรรณาธิการ ซึ่งในชั้นพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง แต่เมื่อสำนวนถึงมืออัยการ กลับมีสั่งไม่ฟ้องเจ้าของหนังสือพิมพ์ และบรรณาธิการ
ผู้เสียหายเห็นว่า คำสั่งของอัยการน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการช่วยเหลือผู้ต้องหาทั้งสองไม่ให้ต้องรับผิด รับโทษตามกฎหมาย ผู้เสียหายจึงได้ฟ้อง พนักงานอัยการให้ตกเป็นจำเลย “ ในข้อหาความผิด เกี่ยวกับการเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง ๑๐ ปี “

ในคดีดังกล่าว ได้มีการต่อสู้กันถึงศาลฎีกา ผลปรากฏว่า “ อัยการติดคุก “ ซึ่งในเนื้อหาของคำพิพากษาศาลฎีกา ในส่วนที่เป็นการกระทำผิดของพนักงานอัยการ ได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า “จำเลยซึ่งเป็นพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง…ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เป็นการใช้ดุลพินิจที่มิได้อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล แต่เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ จึงเกินล้ำออกนอกขอบเขตของความชอบด้วยกฎหมาย และในฐานะที่จำเลยเป็นข้าราชการอัยการชั้นสูง จำเลยย่อมทราบดีถึงเกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิดของพนักงานอัยการ การใช้ดุลพินิจผิดกฎหมายในกรณีนี้ จำเลยเห็นได้อยู่ในตัวแล้วว่าเป็นการมิชอบ และมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหาย อีกทั้งเพื่อจะช่วย… มิให้ต้องโทษจากการกระทำความผิดของตนอีกด้วย จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 และมาตรา 200 วรรคหนึ่ง.”
จากคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีนี้ จึงได้ข้อสรุปว่า หากผู้เสีย หรือแม้แต้ผุ้ต้องหา เห็นว่า การสั่งสำนวนของ พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ เห็นว่า ไม่ถูกต้องไม่เป็นไปตามกฎหมาย ก็สามารถฟ้องร้องเอาผิด กับพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ได้
ท่านใดที่สนใจ สามารถไปอ่านต่อได้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549