
ผู้เช่าเช่าที่ดิน เพื่อทำกิจการรับรับฝากรถยนต์ เมื่อมีต้นไม้ในที่ดินที่เช่าโค่นล้มทับรถยนต์ที่มาจอดในที่ดินที่เช่า ให้ได้รับความเสียหาย โดยไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ผู้เช่าที่ดิน ต้องรับผิดชอบต่อความเสียที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย
ผู้เช่าจะอ้างว่าตนไม้เป็นของเจ้าของที่ดิน เพื่อปัดความรับผิดไม่ได้ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่3840/2563
# ในคดีนี้ต้องชื่นชมทนายโจทก์ ที่นำได้อย่างละเอียดให้ศาลเห็นถึงลำต้น และสี และเนื้อไม้ ของต้นไม้ ทำให้ศาลนำมาฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ ว่าไม่ใช่เหตุสุดวิสัย #
คำพิพากษาศาลฎีกาที่3840/2563
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 434 ที่กำหนดให้ผู้ครองโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างก่อสร้างไว้ช รุดบกพร่อง หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอ เว้นแต่ผู้ครองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อปัดป้องมิให้เกิดความเสียหายแล้ว เจ้าของต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนใช้บังคับตลอดถึงความบกพร่องในการปลูกหรือค้ำจุนต้นไม้หรือกอไผ่ด้วย
เมื่อได้ความว่าจำเลยเป็นผู้บริหารจัดการพื้นที่จอดรถ โดยจำเลยเข้าครอบครองพื้นที่ดังกล่าวในฐานะผู้เช่าที่ดิน ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่เช่าเป็นลานจอดรถแบบโล่ง 2 ลาน มีต้นไม้ใหญ่ปลูกอยู่โดยรอบ การที่จำเลยรับมอบพื้นที่ดังกล่าวมาบริหารจัดการเป็นการดูแลลานจอดรถซึ่งมีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก การยึดถือครอบครองพื้นที่เช่าในลักษณะเช่นนี้ย่อมรวมถึงไม้ยืนต้นที่ปลูกไว้ด้วย การตรวจตราดูแลต้นไม้ในลานจอดรถ เพื่อมิให้ก่อความเสียหายหรือเป็นอันตรายแก่การให้บริการพื้นที่จอดรถอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยโดยตรง
จำเลยจึงต้องบำรุงรักษาและดูแลค้ำจุนต้นไม้ให้อยู่ในสภาพที่มั่นคงแข็งแรงเพียงพอ เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินในพื้นที่เช่าซึ่งจำเลยให้บริการจอดรถโดยเรียกเก็บค่าตอบแทน ต้นไม้ใหญ่ที่หักลงมาทับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัย
เมื่อพิจารณาลำต้นตรงที่หักโค่น ปรากฏว่ามีสีดำเหมือนรอยผุของเนื้อไม้ และกิ่งไม้ด้านที่ลำต้นมีรอยสีดำเป็นกิ่งที่แห้งเปล่า ไม่ได้แตกใบเช่นอีกด้าน หากจำเลยตรวจตราตามสมควรก็น่าจะสังเกตเห็นและต้องดูแลป้องกันมิให้ต้นไม้ที่ลำต้นเริ่มผุหักล้มก่อให้เกิดอันตราย แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการเพื่อปัดป้องมิให้เกิดเสียหายเช่นนั้น
ส่วนที่วันเกิดเหตุมีพายุฝนตกหนักและลมพัดแรง สิ่งปลูกสร้างและต้นไม้อื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันไม่ได้หักโค่นหรือได้รับความเสียหายจากพายุฝนดังกล่าว สภาพการณ์แสดงว่า พายุที่เกิดขึ้นเป็นไปตามฤดูกาล ไม่ได้มีความรุนแรงถึงขนาดที่จะก่อพิบัติภัยอันไม่อาจจะหลีกพ้นได้
และหากจำเลยได้ดูแลค้ำจุนหรือตัดแต่งต้นไม้เพื่อป้องกันการโค่นล้ม ความเสียหายก็จะไม่เกิดขึ้น การที่เกิดความเสียหายในกรณีนี้เป็นเพราะจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร จำเลยในฐานะผู้ครองต้นไม้ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง
๓ /๐๑ /๒๕๖๔